เมนู

ธรรม ไม่พึงให้บรรพชา. แต่ควรเรียนเอามูควัตร ควรให้ลาภสงฆ์แม้แก่
ภิกษุผู้อยู่ภายนอกสีมาด้วย ดังนี้ ก็ไม่ควรทำเหมือนกัน.

[เรื่องพระมหาโมคคัลลานะเห็นอัฏฐิสังขลิกเปรต]


พระลักขณเถระ ที่พระธรรมสังคาหกาจารย์กล่าวไว้ในลักขณสังยุตว่า
อายสฺมา จ ลกฺขโณ, * เป็นต้นนี้ บัณฑิตพึงทราบว่า มีอยู่ภายในแห่งภิกษุ
ชฎิลพันองค์ อุปสมบทด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทาได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในที่สุด
แห่งอาทิตตปริยายสูตร เป็นพระมหาสาวกองค์หนึ่ง. ก็เพราะท่านองค์นี้
ประกอบด้วยอัตภาพเสมือนพรหม สมบูรณ์ด้วยลักษณะเต็มเปี่ยมด้วยอาการ
ทุกอย่าง ; ฉะนั้น ท่านจึงถึงความนับว่า ลักขณะ ส่วนพระมหาโมคคัลลาน
เถระเป็นพระอัครสาวกที่ 2 ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ในวันที่ 7 แต่วันที่
ท่านบวชแล้ว.
สองบทว่า สิตํ ปาตฺวากาสิ ความว่า พระมหาโมคคัลลานเถระ
ได้ทำการยิ้มน้อย ๆ ให้ปรากฏ. มีคำอธิบายว่า ประกาศ คือแสดง.
ถามว่า ก็ พระเถระ เห็นอะไร จึงได้ทำการแย้มให้ปรากฏ?
แก้ว่า พระเถระ เห็นสัตว์ผู้เกิดอยู่ในเปตโลกตนหนึ่ง มีแต่ร่างกระดูก
ซึ่งมาแล้วในบาลีข้างหน้า, ก็แล การเห็นสัตว์คนนั้น เห็นได้ด้วยทิพยจักษุ
ไม่ใช่เห็นด้วยจักษุประสาท. จริงอยู่ อัตภาพเหล่านั้น หาได้มาสู่คลองแห่ง
จักษุประสาทไม่.
ถามว่า ก็พระเถระ เห็นอัตภาพมีรูปอย่างนั้นแล้ว เพราะเหตุไร
จึงได้ทำการแย้มให้ปรากฏ ในเมื่อควรทำความกรุณาเล่า ?
//* สํ. นิทาน. 16/268

แก้ว่า เพราะท่านอนุสรณ์ถึงสมบัติของตน และพระญาณของพระ
พุทธเจ้าด้วย. แท้จริง พระเถระ เห็นเปรตตนนั้นแล้ว ได้อนุสรณ์ถึงสมบัติ
ของตนว่า อัตภาพเห็นปานนี้ อันบุคคลผู้ชื่อว่ายังไม่เห็นสัจจะพึงได้ , เราพ้น
แล้ว จากอัตภาพเช่นนั้น, เป็นลาภของเราหนอ ! เราได้ดีแล้วหนอ ! และ
ได้ระลึกถึงสมบัติแห่งพระพุทธฌานอย่างนี้ว่า ญาณสมบัติของพระผู้มีพระภาค
พุทธเจ้า ผู้ทรงแสดงว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! กรรมวิบาก เป็นอจินไตย
อันบุคคลไม่พึงคิด * น่าอัศจรรย์ , พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมทรงแสดงทำให้
ประจักษ์หนอ ! ธรรมธาตุ อันพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงแทงตลอดดีแล้ว
ดังนี้ จึงได้ทำการแย้มพรายให้ปรากฏ.
ก็ธรรมดาว่า พระขีณาสพทั้งหลาย ไม่ทำการแย้มพรายให้ปรากฏ
เพราะไม่มีเหตุ ; เพราะฉะนั้น พระลักขณเถระจึงถามพระมหาโมคคัลลานเถระ
นั้นว่า ดูก่อนอาวุโส โมคคัลลานะ ! อะไรหนอเป็นเหตุ ? อะไรหนอเป็น
ปัจจัยแห่งการทำแย้มพรายให้ปรากฏ ? แต่พระเถระกล่าวตอบว่า อาวุโส
ลักขณะ ! ยังไม่เป็นกาลสมควรแล เป็นต้น โดยสาเหตุที่ท่านมีความประสงค์
จะให้พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพยานเสียก่อน จึงพยากรณ์ เพราะเหตุว่า ภิกษุ
ทั้งหลาย ผู้ที่ยังมิได้เห็นความอุบัติขึ้นนี้ด้วยตนเองแล้ว จะบังคับให้เชื่อได้
โดยยาก. ภายหลังแต่นั้น พระมหาโมคคัลลานเถระ ถูกพระลักขณเถระถาม
ในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้พยากรณ์ โดยนัยมีอาทว่า อิธาหํ อาวุโส.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อฏฺฐิกสงฺขลิกํ ได้แก่ ผู้มีแต่ร่างกระดูก
ซึ่งมีสีขาว ไม่มีเนื้อและโลหิต.
//* องฺ จตุกฺก. 21/104.

แร้งยักษ์ เหยี่ยวยักษ์ และนกตะกรุมยักษ์ แม้เหล่านี้ พึงทราบว่า
แร้งบ้าง เหยี่ยวบ้าง นกตะกรุมบ้าง. ก็รูปนั้น ไม่มาแม้สู่คลอง (แห่ง
จักษุ ) ของฝูงแร้งเป็นต้นตามปกติ.
สองบทว่า อนุปติตฺวา อนุปติตฺวา ได้แก่ พากันติดตามไปแล้ว ๆ.
บทว่า วิตุเทนฺติ ได้แก่ จิกแล้วบินไป. อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะว่า
วิตุทนฺติ ก็มี. อธิบายว่า ย่อมสับจิก ด้วยจะงอยปากซี่โลหะที่คมกริบ
เปรียบด้วยคมดาบ. ศัพท์ว่า สุทํ ในคำว่า สา สุทํ อฏฺฏสฺสรํ นี้ เป็นนิบาต.
อธิบายว่า อัฏฐิกสังขลิกเปรตตนนั้น ย่อมทำเสียงร้องครวญคราง คือ เสียง
โอดครวญ. ได้ยินว่า อัตภาพเช่นนั้น แม้มีประมาณตั้งโยชน์หนึ่ง ย่อมเกิด
ขึ้น และมีประสาทที่พองขึ้น เป็นเช่นกับหัวฝีที่พองแล้ว เพื่อตามเสวยผล
แห่งอกุศล เพราะฉะนั้น อัฏฐิกสังขลิกเปรตตนนั้น เดือดร้อนเพราะเวทนา
ที่มีกำลัง จึงได้ทำเสียงเช่นนั้นแล.
ก็แล ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว เมื่อจะแสดง
ย้ำธรรมสังเวชซึ่งเกิดขึ้น เพราะอาศัยความกรุณาในสัตว์ทั้งหลายว่า ขึ้นชื่อว่า
สัตว์ทั้งหลายผู้ไปในวัฏฏะ ย่อมไม่พ้นจากอัตภาพเห็นปานนี้ไปได้ จึงกล่าวคำ
เป็นต้นว่า ดูก่อนอาวุโส ! เรานั้นได้มีความคิดเช่นนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ! น่า
อัศจรรย์จริงหนอ ดังนี้.
สองบทว่า ภิกฺขุ อุชฺฌายนฺติ ความว่า ความอุบติขึ้นแห่งเปรตนั้น
ไม่เห็นประจักษ์แก่ภิกษุเหล่าใด, ภิกษุเหล่านั้นพากันโพนทะนา. ส่วนพระผู้มี
พระภาคเจ้า เมื่อจะทรงประกาศอานุภาพของพระเถระ จึงตรัสพระดำรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! สาวกทั้งหลายเป็นผู้มีจักษุอยู่หนอ เป็นต้น.

ในบทเหล่านั้น สาวกทั้งหลายชื่อว่าเป็นผู้มีจักษุ เพราะอรรถว่า
สาวกเหล่านั้นมีจักษุเป็นแล้ว เกิดแล้ว อุบัติแล้ว. ความว่า เป็นผู้มีจักษุ
เป็นแล้ว คือ มีจักษุเกิดแล้ว ยังจักษุให้เกิดขึ้นแล้วอยู่. แม้ในบทที่ 2 ก็
นัยนี้เหมือนกัน. คำว่า ยตฺร ซึ่งมีอยู่ในคำว่า ยตฺร หิ นาม นี้ เป็นคำ
ระบุถึงเหตุ. ในคำว่า จกฺขุภูตา เป็นต้นนั้น มีการประกอบเนื้อความดัง
ต่อไปนี้ :- เพราะเหตุว่า แม้สาวกจักรู้ หรือจักเห็นหรือจักทำอัตภาพเห็น
ปานนี้ ให้เป็นพยานได้ ฉะนั้น เราจึงไค้กล่าวว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !
สาวกทั้งหลาย เป็นผู้มีจักษุอยู่หนอ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! สาวกทั้งหลาย
เป็นผู้มีญาณอยู่หนอ ดังนี้.
ข้อว่า ปุพุเพว เม โส ภิกฺขเว สตฺโต ทิฏฺโฐ มีความว่า
(พระผู้มีพระภาคเจ้า) ตรัสว่า เราได้แทงตลอดสัพพัญฌุตญาณ ณ โพธิมัณฑ์
ทำหมู่สัตว์ และภพ คติ ฐิติ และนิวาส หาประมาณมิได้ ไนจักรวาลทั้งหลาย
หาประมาณมิได้ ให้ประจักษ์อยู่ ได้เห็นสัตว์นั้นแล้วในกาลก่อนแล.
บทว่า โคฆาตโก ความว่า เป็นสัตว์ผู้ฆ่าโคทั้งหลายแล้ว ปล้อน
เนื้อออกจากกระดูกขายเลี้ยงชีวิต.
หลายบทว่า ตสฺเสว กมฺมสฺส วิปากาวเสเสน ความว่า แห่ง
อปราปรเวทนียกรรมอันเจตนาต่าง ๆ ประมวลมาแล้วนั้นนั่นแล. จริงอยู่
บรรดาเจตนาเหล่านั้น ปฏิสนธิในนรกอันเจตนาใดให้เกิดขึ้น แล้วเมื่อวิบาก
แห่งเจตนาดวงนั้น สิ้นไปแล้ว , ปฏิสนธิในเปรตเป็นต้น ย่อมบังเกิดอีก ;
เพราะทำกรรมที่เหลือ หรือกรรมนิมิตให้เป็นอารมณ์ เพราะเหตุนั้น ปฏิสนธิ
นั้น ท่านจึงเรียกว่า วิบากที่เหลือแห่งกรรมนั้นนั่นเอง เพราะมีส่วนเสมอ
ด้วยกรรม หรือเพราะมีส่วนเสมอด้วยอารมณ์. ก็สัตว์นี้เกิดขึ้นแล้วอย่างนี้

เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ด้วยวิบากยังเหลืออยู่แห่งกรรม
นั้นนั่นเอง. ได้ยินว่า ในเวลาเคลื่อนจากนรก สัตว์นั้นได้มีนิมิต คือ กอง-
กระดูกแห่งโคทั้งหลาย อันถูกทำไม่ให้มีเนื้อ, สัตว์นั้น เมื่อจะทำกรรมนั้น
แม้ที่ปกปิดให้เป็นดุจปรากฏแก่วิญญูชนทั้งหลาย จึงเกิดเป็นอัฏฐิสังขลิกเปรต.

[เรื่องมังสเปสีเปรต]


ในเรื่องมังสเปสีเปรต มีวินิจฉัยดังนี้ :- มังสเปสีเปรตนั้นเป็นคน
ฆ่าโค ทำชิ้นเนื้อตากให้แห้งแล้ว เลี้ยงชีวิตด้วยการขายเนื้อแห้งหลายปี.
ด้วยเหตุนั้น เวลาเคลื่อนจากนรก เขาจึงได้มีนิมิต คือ ชิ้นเนื้อนั่นเอง เขาจึง
เกิดเป็นมังสเปสีเปรต.

[เรื่องมังสปิณฑเปรต]


ในเรื่องมังสปิณฑเปรต มีวินิจฉัยดังนี้ :- มังสปิณฑเปรตนั้นเป็น
นายพรานนกจับนกได้แล้ว เวลาขาย ได้ทำการถอนขนปีกและหนังออกหมด
ให้เป็นเพียงก้อนเนื้อแล้ว ขายเลี้ยงชีวิต. ด้วยเหตุนั้น เวลาเคลื่อนจากนรก
เขาจึงได้มีนิมิต คือ ก้อนเนื้อเท่านั้น. เขาจึงเกิดเป็นมังสปิณฑเปรต.

[เรื่องนิจฉวีเปรต]


ในเรื่องนิจฉวีเปรต มีวินิจฉัยดังนี้ :- นิจฉวีเปรตนั้น เป็นคนฆ่าแพะ
ฆ่าแพะแล้วถลกหนัง เลี้ยงชีวิต จึงได้มีนิมิต คือ ร่างแพะปราศจากหนัง
ตามนัยก่อนนั่นแล เขาจึงได้เกิดเป็นนิจฉวีเปรต.

[เรื่องอสิโลมเปรต]


ในเรื่องอสิโลมเปรต มีวินิจฉัยดังนี้ :- อสิโลมเปรตนั้นเป็นคนฆ่า
สุกร ใช้ดาบฆ่าสุกรทั้งหลายอันตนปรนปรือด้วยเหยื่อสิ้นกาลนาน แล้วเลี้ยง